วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เครื่องมือภูมิศาสตร์


เครื่องมือภูมิศาสตร์    หมายถึง   สิ่งที่ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและบันทึกข้อมูลทางด้านภูมิศาสตร์  เครื่องมือภูมิศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ แผนที่ ลูกโลก เข็มทิศ รูปถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายจากดาวเทียม และ เครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา 



1. แผนที่ 

เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อแสดงลักษณะที่ตั้งของสิ่งต่างๆที่อยู่บนพื้นผิวโลก โดยการย่อส่วน กับใช้สัญลักษณ์แทนสิ่งต่างๆลงในวัสดุพื้นแบนราบ

ความสำคัญของแผนที่   แผนที่เป็นที่รวบรวมข้อมูลประเภทต่างๆตามชนิดของแผนที่ จึงสามารถใช้ประโยชน์จากแผนที่ได้ตามวัตถุประสงค์ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเห็นพื้นที่จริง แผนที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรู้สิ่งที่ปรากฏอยู่บนพื้นโลกได้อย่างกว้างไกล ถูกต้อง และประหยัด 


  ชนิดของแผนที่ แบ่งตามการใช้งาน ได้ 3 ชนิด ได้แก่

    1. แผนที่ภูมิประเทศ เป็นแผนที่แสดงความสูงต่ำของพื้นผิวโลก โดยใช้เส้นชั้นความสูงบอกค่าความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง แผนที่ชนิดนี้เป็นพื้นฐานที่จะนำไปทำข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับแผนที่

    2. แผนที่เฉพาะเรื่อง เป็นแผนที่ที่แสดงลักษณะใดลักษณะหนึ่งโดยเฉพาะ ได้แก่ แผนที่รัฐกิจแสดงเขตการปกครองหรืออาณาเขต แผนที่ แสดงอุณหภูมิของอากาศ แผนที่แสดงปริมาณน้ำฝน แผนที่แสดงการกระจายตัวของประชากร แผนที่เศรษฐกิจ แผนที่ประวัติศาสตร์ เป็นต้น

    3. แผนที่เล่ม เป็นแผนที่ที่รวบรวมเรื่องต่างๆ ทั้งลักษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางด้านประชากร และอื่นๆไว้ในเล่มเดียวกัน


  องค์ประกอบของแผนที่

1. สัญลักษณ์
2. มาตราส่วน
3. ระบบอ้างอิงในแผนที่ ได้แก่ เส้นขนานละติจูด และเส้น เมริเดียน
4. พิกัดภูมิศาสตร์เป็นตำแหน่งที่ตั้งของจุดต่างๆ เกิดจากการตัดกันของเส้นขนานละติจูดและเส้นเมริเดียน

  ประโยชน์ของแผนที่

1. นำไปเป็นข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมือง    

2. นำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 

3. นำไปใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว 

4. นำไปเป็นข้อมูลในการสร้างสาธารณูปโภค  

 5. ใช้ประโยชน์ในกิจการทหาร ฯลฯ

6. ช่วยให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับพื้นผิวโลก เพราะแผนที่ได้จำลองลักษณะของพื้นผิวโลกไว้

7. ประโยชน์ในการศึกษาด้านต่างๆเช่น ลักษณะภูมิประเทศ ด้านธรณีวิทยา สมุทรศาสตร์ และการประมง ด้านทรัพยากรน้ำ ด้านป่าไม้         ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการวางผังเมือง เป็นต้น


 2.ลูกโลก  

เป็นเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ที่ทำให้เห็นภาพรวมว่าโลกมีรูปร่างลักษณะอย่างไร ลูกโลกเป็นสิ่งจำลองที่คล้ายโลกมากที่สุด



 องค์ประกอบของลูกโลก 

1. เส้นเมริเดียน เป็นเส้นสมมติที่ลากจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ ซึ่งกำหนดให้มีค่าเป็น 0 องศาที่เมืองกรีนิช ประเทศอังกฤษ

 2. เส้นขนาน เป็นเส้นสมมติที่ลากไปรอบโลกในแนวนอน ทุกเส้นจะขนานกับเส้นศูนย์สูตร การใช้ลูกโลก ลูกโลกใช้ประกอบคำอธิบายตำแหน่งหรือพื้นที่ของส่วนต่างๆของโลกโดยประมาณ
 3 เข็มทิศ เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการหาทิศทางของจุดหรือวัตถุ โดยมีหน่วยเป็นองศาเปรียบเทียบกับ จุดเริ่มต้น อาศัยแรงดึงดูดระหว่างสนามแม่เหล็กขั้วโลกกับเข็มแม่เหล็ก ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุด เข็มแม่เหล็กจะแกว่งไกวอิสระในแนวนอน เพื่อให้แนวเข็มชี้อยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ไปยังขั้วแม่เหล็กโลกตลอดเวลา 

 ประโยชน์ของเข็มทิศ 

ใช้ประโยชน์ในการเดินทาง ได้แก่ การเดินเรือทะเล เครื่องบิน การใช้เข็มทิศจะต้องมีแผนที่ประกอบ และต้องหาทิศเหนือก่อน   เข็มทิศบางประเภทออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับวัดมุมเอียงของหิน หรือความลาดชันของพื้นที่ได้ด้วย เช่น เข็มทิศบรุนตัน



 3.รูปถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายจากดาวเทียม  

รูปถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายจากดาวเทียม   เป็นรูปหรือข้อมูลตัวเลขที่ได้จากการเก็บข้อมูลภาคพื้นดินจากกล้องที่ติดอยู่กับยานพาหนะ เช่น เครื่องบิน หรือดาวเทียม



ประโยชน์ของรูปถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายจากดาวเทียม  

รูปถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายจากดาวเทียมให้ข้อมูลพื้นผิวของเปลือกโลกได้เป็นอย่างดี ทำให้เห็นภาพรวมของการใช้พื้นที่และ   การเปลี่ยนแปลงต่างๆ   ตามที่ปรากฏบนพื้นโลก เหมาะแก่การศึกษาทรัพยากรผิวดิน เช่น ป่าไม้ การใช้ประโยชน์จากดิน หิน และแร่



  4. เครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาภูมิศาสตร์   เทคโนโลยีที่สำคัญด้านภูมิศาสตร์ คือ

     1. ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ( GIS ) หมายถึง การเก็บ รวบรวม และบันทึกข้อมูลทางภูมิศาสตร์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยข้อมูลเล่านี้สามารถปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องทันสมัย และสามารถแสดงผลหรือนำออกมาเผยแพร่เป็นตัวเลข สถิติ รูปภาพ ตาราง แผนที่ และข้อความทางหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือพิพม์ออกมาเป็นเอกสารได้ 
            ประโยชน์ของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) คือ ช่วยให้ประหยัดเวลาและงบประมาณ ช่วยให้เห็นภาพจำลองพื้นที่ชัดเจนทำให้การตัดสินใจวางแผนจัดการและพัฒนาพื้นที่ มีความสะดวกและสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่นั้น และช่วยในการปรับปรุงแผนที่ให้ทันสมัย
     2. ระบบพิกัดพื้นผิวโลก ( GPS) เป็นเครื่องมือรับสัญญารพิกัดพื้นผิวโลก อาศัยระยะทางระหว่างเครื่องรับดาวเทียม GPS บนพื้นผิวโลกกับดาวเทียมจำนวนหนึ่งที่โคจรอยู่ในอวกาศ และระยะทางระหว่างดาวเทียมแต่ละดวง ปัจจุบันมีดาวเทียมชนิดนี้อยู่ประมาณ 24 ดวง เครื่องมือรับสัญญาณ มีขนาดและรูปร่างคล้ายโทรศัพท์มือถือ เมื่อรับสัญญาณจากดาวเทียมแล้วจะทราบค่าพิกัด ณ จุดที่วัดไว้ โดยอาจจะอ่านค่าเป็นละติจูดและลองจิจูดได้ ความคลาดเคลื่อนขึ้นอยู่กับชนิดและราคาของเครื่องมือ
            ประโยชน์ของเครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาภูมิศาสตร์ จะคล้ายกับการใช้ประโยชน์จากแผนที่สภาพภูมิประเทศและแผนที่เฉพาะเรื่อง เช่น จะให้คำตอบว่าถ้าจะเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งในแผนที่จะมีระยะทางเท่าใด ถ้าทราบความเร็วของรถจะทราบว่าใช้เวลานานเท่าใด บางครั้งข้อมูลมีความสับสนมาก เช่น ถนนบางช่วงมีสภาพถนนไม่เหมือนกัน คือบางช่วงเป็นถนนกว้างที่สภาพผิวถนนดี บางช่วงเป็นถนนลูกรัง บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ ทำให้การคิดคำนวณเวลาเดินทางลำบากแต่ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์จะช่วยให้คำตอบได้ บางครั้งระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร เช่น ต้องการพัฒนาแหล่งแร่ แต่มีปัญหาต่างๆมากมาย ระบบนี้จะช่วยในการวิเคราะห์ ข้อมูลที่หลากหลายและนำไปสู่การตัดสินใจได้


ข้อมูลจาก  http://siam1.net/simple/?t13677.html

รีโมทเซนซิง (Remote Sensing)


        รีโมทเซนซิงถูกนำมาใช้ในการสำรวจข้อมูลที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลง  อย่างประหยัดและรวดเร็วอันเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์และวางแผนแก้ปัญหาในการจัดการทรัพยากรและ  สภาพแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอาศัยภาพถ่ายทางอากาศ (Aerial Photograph) หรือภาพถ่ายดาวเทียม (Satellite Imagery)โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวกับข้อมูลซึ่งได้จากตัวรับสัญญาณระยะไกลที่เรียกว่า Remote Sensing คำว่ารีโมทเซนซิ่ง (Remote Sensing) เป็นประโยคที่ประกอบขึ้นมาจากการรวม   2  คำ ซึ่งแยกออกได้ดังนี้ คือ Remote = ระยะไกล  และ Sensing = การรับรู้   เมื่อรวมคำ 2 คำเข้าด้วยกัน คำว่า "Remote Sensing" จึงหมายถึง "การรับรู้จากระยะไกล"   โดยมีนิยามความหมายนี้ได้กล่าวไว้ว่าเป็นการสำรวจตรวจสอบคุณสมบัติสิ่งใดๆ ก็ตาม โดยที่มิได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นเลย”   ดังนั้นคำว่า "Remote Sensing"   จึงมีความหมายที่นิยมเรียกอย่างหนึ่งว่า   การสำรวจจากระยะไกล
         สรุป
รีโมทเซนซิง หมายถึง การบันทึกหรือการได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัตถุ พื้นที่เป้าหมาย      ด้วยอุปกรณ์บันทึกข้อมูล (sensor) โดยปราศจากการสัมผัสกับวัตถุนั้นๆ  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการสำรวจ  จากระยะไกลนั่นเอง ซึ่งอาศัยคุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสื่อในการได้มาของข้อมูลของสิ่งต่างๆ          บนพื้นผิวโลก 

หลักฐานทางประวัติศาสตร์

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทย แบ่งออกเป็น  2 ประเภท

       1.  หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร

         1.1  ตำนาน เป็นเรื่องเล่าต่อกันมา เกี่ยวกับ ตำนานจามเทวีวงศ์ ตำนานพระแก้วมรกต

         1.2  จารึก การบันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์ลงบนแผ่นศิลา ใบลาน แผ่นเงิน แผ่นทอง เช่น ศิลาจารึกสมัยพ่อขุนรามคำแหง 

         1.3  พงศาวดาร  การบันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์ในราชสำนัก  เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์

         1.4  จดหมายเหตุ การบันทึกเหตุการณ์ร่วมสมัย บอกวัน เดือน ปี ที่มีเหตุการณ์ขึ้น มีรายละเอียดและถูกต้อง เช่น จดหมายเหตุของหลวง  จดหมายเหตุโหร

         1.5  เอกสารทางราชการ  เกี่ยวกับการ การปกครอง  การตรวจเยี่ยม รายงานการประชุม เป็นต้น

         1.6  บันทึกของชาวต่างชาติ นักการทูต พ่อค้า นักเผชิญโชค บันทึกที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมและการดำรงชีวิต  เช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์  เล่าเรื่องกรุงสยาม

       2.  หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร

          2.1  โบราณสถาน ได้แก่ พระราชวัง  แหล่งโบราณคดี วัด เจดีย์ โบสถ์ วิหาร

          2.2  โบราณวัตถุ ได้แก่ เครื่องแต่งกาย  เครื่องมือ  เครื่องใช้   

         2.3  งานศิลปะ ได้แก่ เครื่องมือ  เครื่องใช้  ภาพฝาผนัง

การประเมินความน่าเชื่อถือตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์

       ประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทางวิชาการ มีการแบ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็น 2 แนวทาง คือ หลักฐานที่แบ่งโดยการประเมินความน่าเชื่อถือ และแบ่งตามลักษณะที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ดังนี้

       1. หลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือนั้น แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

         1.1 หลักฐานชั้นต้น หรือหลักฐานปฐมภูมิ  หมายถึง หลักฐานที่บันทึกไว้ในสมัยที่เรื่องราวนั้นเกิดขึ้น อาจจะโดยผู้พบเห็นเหตุการณ์หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์นั้น อาจโดยตั้งใจเขียนไว้เป็นหลักฐาน หรือไม่ตั้งใจเขียนก็ได้ และให้รวมถึงข้อเขียน นั้น ๆ หลักฐานชั้นต้น ยังรวมถึงสิ่งปลูกสร้าง หรือผลิตผลของสังคมที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ๆ ด้วย เช่น วัดวาอาราม พระพุทธรูป ภาพเขียน เครื่องมือในการดำรงชีพ และอีกมากมาย ดังนั้นหลักฐานชั้นต้น จึงมักจะได้รับน้ำหนักความน่าเชื่อถือจากนักประวัติศาสตร์มากกว่า ได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่าหลักฐานอื่น ๆ

         1.2 หลักฐานชั้นรอง หรือหลักฐานทุติยภูมิ หมายถึง บันทึกของผู้ที่ได้รับทราบเหตุการณ์จากคำบอกเล่าของบุคคลอื่นมาอีกต่อหนึ่ง เช่น หนังสือประวัติศาสตร์ที่มีผู้เขียนขึ้นในภายหลัง โดยอาศัยหลักฐานต่าง ๆ พอเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้

       2. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้

         2.1 หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร คือ ข้อความบอกเล่า จากบุคคล เหตุการณ์ในสมัย ได้จดลงไว้เป็นตัวอักษร เช่น บันทึก    ต่าง ๆ ศิลาจารึก เป็นต้น โดยที่ผู้บันทึกอาจจะเป็นคนในพื้นที่นั้นเอง หรือคนที่เคยเดินทางผ่านมา โดยในทางประวัติศาสตร์ถือกันว่า เรื่องราวของมนุษย์ก่อนที่จะมีการจดบันทึกเป็นตัวอักษรนั้น เป็นเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยของประวัติศาสตร์ จะเริ่มต้นเมื่อมีตัวอักษรใช้

         2.2 หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร คือ หลักฐานทางศิลปกรรม โบราณคดี ศิลปะ ดนตรีนาฏกรรม หมู่บ้าน ชุมชน สภาพความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต คำบอกเล่า และประเพณี วัฒนธรรมซึ่งไม่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นข้อความลายลักษณ์อักษรวิธีการประเมินความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางประวัติศาสตร์

       การศึกษาประวัติศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ มาศึกษาวิเคราะห์ ตีความเรื่องราว และตรวจสอบความถูกต้องของเรื่องราวเหตุการณ์นั้น ๆ หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวประวัติความเป็นมาของมนุษย์ เรียกว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถแยกได้ดังนี้

         1. หลักฐานทางศิลปกรรมและโบราณคดี หลักฐานทางศิลปกรรมที่สำคัญ คือ ศิลปวัตถุแบบอู่ทอง ศิลปวัตถุแบบลพบุรี        ศิลปวัตถุแบบทวารวดี นอกจากนี้ได้แก่ เงินตรา ซากอิฐปูนของวัดวาอาราม พระพุทธรูป เครื่องใช้ตามบ้านเรือน ฯลฯ

         2. หลักฐานที่เป็นหนังสือเก่านั้นมักจะเขียนลงบนสมุดข่อยหรือใบลาน เช่น ตำนานสิงหนวัติ (เล่าเรื่องตั้งแต่พระเจ้าสิงหนวัติอพยพมาจากเหนือ)  จามเทวีวงศ์ (เป็นเรื่องเมืองหริภุญไชย)  รัตนพิมพ์วงศ์ (เป็นตำนานพระแก้วมรกต) สิหิงคนิทาน (เป็นประวัติพุทธศาสนาและประวัติเมืองต่าง ๆ ในลานนาไทย)  จุลลยุทธกาลวงศ์ (เป็นพงศาวดารไทย ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ตลอดสมัยอยุธยา)  ตำนานสุวรรณโคมคำ และตำนานมูลศาสนา (เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย) ปัญหาของหลักฐานที่เป็นหนังสือเก่า คือ เราไม่ทราบว่าผู้บันทึกเขียนไว้เมื่อไร มีความจริงแค่ไหน และแต่งเติมเพียงใด

         3. หลักฐานที่เป็นศิลาจารึก ศิลาจารึกถือว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญมากในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในระยะเริ่มแรกสมัยสุโขทัย ที่สำคัญได้แก่ ศิลาจารึกหลักที่ 1 (จารึกพ่อขุนรามคำแหง)  ศิลาจารึกหลักที่ 2 (จารึกวัดศรีชุม) , ศิลาจารึกหลักที่ 3 (จารึกนครชุม)  ศิลาจารึกหลักที่ 4 (จารึกวัดป่ามะม่วง)  ศิลาจารึกหลักที่ 8 ข. (จารึกวัดพระมหาธาตุ)  จารึกหลักที่ 24 (จารึกวัดหัวเวียงไชยา)  จารึกหลักที่ 35 (จารึกดงแม่นางเมือง นครสวรรค์)  จารึกหลักที่ 62 (จารึกวัดพระยืน ลำพูน) ฯลฯ หมายเหตุ ศิลาจารึกให้ลำดับหลักตามการค้นพบ ก่อน หลัง

         4. หลักฐานพวกที่เป็นพงศาวดารพระราชพงศาวดารสยามมีมากมาย แต่ที่มีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย ได้แก่

           4.1 พระราชพงศาวดารสยามที่แต่งในสมัยอยุธยา คือ ฉบับหลวงประเสริฐ

           4.2 พระราชพงศาวดารสยามที่แต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ แยกเป็น 3 รัชกาล คือ             4.2.1 ฉบับรัชกาลที่ 1 มี 4 สำนวน คือ ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) , ฉบับเจ้าพระยาพิพิธพิชัย  ฉบับพระพันรัตน์  ฉบับบริติชมิวเซียม

             4.2.2 ฉบับรัชกาลที่ 3 มี 1 สำนวน คือ ฉบับสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส

             4.2.3 ฉบับรัชกาลที่ 4 มี 4 สำนวน คือ ฉบับพระราชหัตถเลขา

         4.3 พระราชพงศาวดารฉบับอื่น ๆ คือ พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) พงศาวดารเหนือ พงศาวดารโยนก

         5. หลักฐานที่เป็นจดหมายเหตุชาวต่างประเทศหลักฐานพวกนี้เป็นหลักฐานภาษาต่างประเทศ เพราะมีชาวยุโรปหลายชาติเข้ามาติดต่อในสมัยอยุธยา หลักฐานเหล่านี้อยู่ในรูปของบันทึก จดหมายเหตุ จดหมายถึงผู้บังคับบัญชา จดหมายของข้าราชการและพ่อค้า เอกสารทางการทูต บันทึกของมิชชันนารี เช่น จดหมายเหตุของลาลูแบร์  บันทึกของบาดหลวงเดอ ชัว สี  จดหมายเหตุวันวิลิต เอกสารฮอลันดา ฯลฯ อ้างอิงจาก (สุริยันตร์ เชาวนปรีชา : เอกสารประกอบ การสัมมนาประวัติพระยาพิชัยดาบหักเพื่อการจัดทำหลักสูตรบุคคลสำคัญท้องถิ่น )หลักเกณฑ์การประเมินค่าของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แบ่งเป็น 2 ประเภท

       1. การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าหลักฐานจากภายใน หมายถึง การตรวจสอบความน่าเชื้อถือของหลักฐานว่า มีความน่าเชื่อถือมาก ปานกลาง หรือไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด ซึ่งจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และควรตรวจสอบดังนี้

         1.1 ช่วงระยะเวลาของเหตุการณ์และการบันทึก ได้ทันเหตุการณ์ความถูกต้องย่อมมีมากขึ้น

         1.2 จุดมุ่งหมายของผู้บันทึก บางคนตั้งใจบันทึกได้ทันเหตุการณ์ความถูกต้องย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น

         1.3 ผู้บันทึกรู้ในเรื่องราวนั้นจริงหรือไม่ เรื่องราวที่อ้างอิงมาจากบุคคลอื่นหรือเป็นคำพูดของผู้บันทึกเอง

         1.4 คุณสมบัติของผู้บันทึกเกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน สภาพแวดล้อมน่าเชื่อถือหรือไม่ ขณะที่บันทึกนั้นสภาพร่างกายหรือจิตใจปกติหรือไม่มีความกดดันทางอารมณ์ หรือถูกบีบบังคับให้เขียนหรือไม่

ข้อความในหลักฐานที่อาจเกิดการคัดลอกหรือแปลผิดพลาดหรือมีการต่อเติมเกิดขึ้น

         1.5 ข้อความนั้นมีอคติเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา ลัทธิการเมือง ฐานะทางเศรษฐกิจ สังคมหรือไม่

         1.6 วิธีการในการบันทึกใช้วิธีการบันทึกอย่างไร ถี่ถ้วนมีอรรถรสหรือเป็นการบันทึกโดยการสืบหาสาเหตุอย่างเที่ยงธรรม ถ้าหากผู้บันทึกใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์บันทึกเหตุการณ์ จะทำให้เป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ

       2. การประเมินคุณค่าหลักฐานจากภายนอก เป็นการมุ่งวิเคราะห์และพิสูจน์หลักฐานว่า เป็นของจริงหรือของปลอม ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด โดยอาศัยวิธีการเปรียบเทียบกับหลักฐานอื่น อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบหลักฐานว่าจริงหรือปลอมนั้น ผู้ศึกษาไม่สามารถตรวจสอบด้วยตนเองได้ทั้งหมด เพราะต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทางจริง ๆ จึงต้องอาศัยผลงานหรือขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนนี้จะเป็นการตรวจสอบหาข้อบกพร่องของหลักฐาน